หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Italy ❤︎ หนีอาจารย์ไปเติมความหวาน 10 วัน 9 คืนที่อิตาลีกัน [Part 6 Rome]

มาต่อตอนสุดท้ายที่โรม เมืองแห่งนำ้พุ ไปไหนก็เจอ
 

หลังจาก Cinque Terre เราก็กลับไปพักที่ปิซ่า วันสุดท้ายที่ปิซ่าจองรถไฟเร็วไปโรม ตอน เกือบๆบ่ายสอง กว่าเราจะเก็บกระเป๋าอะไรเสร็จก็  11 โมงได้ เลยไม่มีเวลาไปไหนไกล สรุปก็ลงท้ายที่ไปนั่งมองคนโพสท่าถ่ายรูปแถวๆปิซ่านั่นแหละ อีกอย่างเราก็ยังเหนื่อยจากการปีนเขาด้วย เลยขอพักขาบ้าง นั่งอาบแดดไป ดูคนโพสท่าไป ก็ฮาไม่น้อยนะ นั่งดูเฉยๆเนี่ย ใครมีเวลาเหลือลองดู มีท่าแปลกๆให้เห็นตลอดๆๆๆ

สุดท้ายก็ได้เวลาขึ้นรถไฟละ นั่งรถไฟ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึง Roma Termini 

วันแรกที่เราถึงโรมเราก็กลับที่พักเลย ที่พักเรารอบนี้คือ Camping Village Roma ที่พักอยู่สถานีรถไฟ Aurelia ต้องนั่งรถต่อจาก Termini ไปอีก 15 นาที โดยรวมเราชอบห้องพักที่นี่นะ ตกคืนละเกือบ £50 ชอบห้องพักและดีไซน์ แต่จะลำบากก็ตรงเดินทางเนี่ยแหละ ถ้าอยากพักที่นี่ มีอยู่ 2 ทางเลือกในการเดินทาง คือ นั่งรถไฟจาก Termini แล้วเดินอีก 10 นาที หรือ นั่ง metro แล้วต่อรถเมล์

คืนแรกไม่ได้ไปไหน เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง ก็เลยกินข้าวที่แคมป์เนี่ยแหละ ร้านอาหารโอเคอยู่ ราคาก็ทั่วไป


มาต่อวันที่ 2 ที่โรม วันนี้เราจะไป Colosseum กัน ก่อนอื่นต้องซื้อ Roma Pass มันคือบัตรเบ่งที่สามารถใช้กับ public transport อะไรก็ได้ในโรม แถมเข้า museum ฟรีได้อีกสองที่ เราเลือก Roma Pass แบบ 48 ชั่วโมง ราคาใบละ 28 ยูโร เห็นในเว็บบอกว่าขายที่ PIT เรานี่ก็เดินหาไปสิในสถานี Termini ดีนะมีเจ้าหน้าที่อยู่แถวนั้นเลยถามซะ สรุปมันหาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือพิมพ์ตามสถานีรถไฟทั่วไป 

ได้บัตรแล้วลุ้ยยยยย ไปกันที่ 1 ใน 7 สิ่งมหศจรรย์ของโลกกันดีกว่า นั่งรถ Metro สาย A ไปลงสถานี Colosseo ออกจากสถานีก็จะเจอเลย โคลอสเซียม จุคนได้มากถึง 80000 คนเลยทีเดียว O_o งานสร้างเค้ายิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ไม่แปลกเลยที่เป็นสิ่งมหศจรรย์ของโลก คิดไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนเค้าสร้างกันยังไง น่านับถือฝีมือมากๆ

จากข้างนอกว่าอลังการแล้ว ข้างในยิ่งกว่า

หลังจากชื่นชมชั้นแรกเสร็จ ก็ตรงดิ่งขึ้นไปขั้นสอง
Colosseum นี้ก็เหมือนสนามกีฬาสมัยนี้ เอาไว้ดูการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ อ่านป้ายนี้แล้วแอบรู้สึกสลดใจนิดนึง คนสมัยก่อนโหดร้ายน่าดู คนสู้กับสัตว์ คนสู้กับคน ถึงขั้นตายกันไปข้างนึง อ่านแล้วสยองมาก

หลังจากชื่นชมความอลังการณ์งานสร้างแล้ว คราวนี้เราจะไป Roman forum กับ Palatine Hill กัน ค่าเข้ารวมกับบัตร Roma Pass เข้าโคลอสเซียมแล้ว เบ่ง Roma Pass ได้เลย  เราจะเริ่มเดินไปที่ โรมันฟอรัมก่อน ทางเข้าก็จะเห็น Arch of Titus เค้าว่าเป็นต้นแบบของ Arc de Triomphe ในฝรั่งเศสหล่ะ
เดินเข้าไปอีกนิดก็จะเห็นโรมันฟอรัมของจริง  มันใหญ่ดีแท้

ถ้าเดินเมื่อยๆก็สามารถหาที่นั่งตามหินแถวๆนั้นได้ ที่อยากจะแนะนำคือควรพกน้ำดื่มไปด้วยเพราะในนั้นไม่มีขาย

หลังจากนี้ก็จะเป็นรูปที่ได้จาก Palatine Hill เป็นเนินเขา 1 ใน 7 แห่งของโรม ที่นี่เคยมีการสร้างเมืองขึ้น แต่ตอนนี้เหลือก็แต่ซากปรักหักพัง เดี๋ยวเราจะขึ้นไปชมวิวโรมจากบนเขากัน วิวข้างบนสวยมาก กลัวเก็บภาพไม่หมดเราเลยถ่าน Panorama มาด้วย เราจะเห็นทั้งโคลอสเซียม(ขวามือสุด) roman forum  รวมถึง Vittorio Emmanuele Monument ซึ่งอยู่ทางด้ายซ้ายมือของภาพ เดี๋ยวเราจะเดินไปที่นี่กัน


วันนี้เราจะเดินๆๆๆ เดินมันให้ทั่วกัน เลยขอแวะถ่ายรูปกลางถนนสักหน่อย
เดินมาสักพักก็ถึงแล้ว Vittorio Emmanuele Monument อนุสาวรีย์กษัตริย์วิคเตอร์ เอมานูเอลที่ 2
ที่นี่เค้าเปิดให้เค้าฟรีนะ เราโชคดีมากที่ได้เข้าก่อนเค้าปิดประตู เข้าคนสุดท้ายพอดี วิวที่ได้ก็จะแตกต่างกับบน Palatine Hill แต่ยังคงเห็นโคลอสเซียมอยู่ลิบๆ
จริงๆมันมีขึ้นลิฟต์ไปดูด้านบนได้อีก แต่ต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม เราเลยไม่ขึ้นดีกว่า คิดว่าเดินรอบๆก็ได้วิวที่สวยมากแล้ว ข้างๆอนุสาวรีย์ก็จะเห็นแท่งสูงๆ เรียก Trajan Forum เสาโรมันสมัยก่อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่

พอลงมาจากอนุสาวรีย์ เราก็เดินต่อไปที่ Pantheonกัน

ตรงข้าม Pantheon คือ Fontana del Pantheon น้ำพุที่แรกที่เจอ
เดินไปอีกนิดก็จะเจอน้ำพุอันเลื่องชื่อ Fontana di Trevi พอไปถึงต้องพูดคำนี้เลย ร้องไห้หนักมากกกกกก เค้าปิดซ่อมแซมครับท่านผู้ชม เหลือก็เพียงแต่น้ำในบ่อไซส์มินิอันนี้ แต่คนก็ยังคงไม่หมดศรัทธา ยังคอยโยนเหรียญไปเรื่อยๆ ซึ่งเรากับคุณแฟนก็คือหนึ่งในนั้น 55555

การปิดปรับปรุงครั้งนี้ ถ้าจะให้คิดเข้าข้างตัวเอง อย่างน้อยชั้นก็ได้เดินข้ามน้ำพุเว้ยเห้ย ภาพนี้คือยืนอยู่บนกึ่งกลางน้ำพุ ประสบการณ์หายากนะแกรรรร คนอื่นเค้าแค่ถ่ายรูปที่ขอบน้ำพุ ชั้นนี้ลอยตัวบนน้ำพุ วะฮะฮ่าาาา 
ไหนๆก็จะเก็บ landmark ในโรมแล้ว จะพลาดบันไดสเปนได้ยังไง พื้นที่บริเวณนั้นค่อนข้างจอแจ เหมือนเป็นจุดนัดพบ มีคนนั่งอยู่บริเวณบันไดเยอะแยะไปหมด

ด้านล่างของบันไดก็จะมีน้ำพุที่สร้างเป็นรูปเรือ น้ำพุอีกแล้วคร่าาาาา

หมดวันที่สองแล้ว เก็บสถานที่สำคัญได้เกือบหมด เพราะฉะนั้นวันหลังๆก็ชิวววววว

วันที่สามวันนี้จะไป Vatican นครรัฐที่เล็กที่สุดในโลก ปกครองโดย Pope เดินทางไปโดย Metro สาย A ลงสถานี Cipro-Musei Vaticani แล้วเดินอีกนิดก็จะถึง ก่อนไปควรจองตั๋วเข้า Vatican Museum ล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่ต้องต่อคิวรอ จองได้ที่เวปนี้ http://biglietteriamusei.vatican.va/musei/tickets/do?action=booking ค่าตั๋วคนละ 20 ยูโร ส่วนใครถ้าสนใจอยากดูงานศิลปะรู้เรื่อง รู้ที่มาที่ไป รู้ประวัติก็สามารถซื้อ Audio guide ได้ หรืออีกทางเลือกนึงก็คือมีไกด์ทัวร์นำ พวกบริษัทไกด์ทัวร์ก็หาไม่ยาก บริเวณหน้าทางเข้า Vatican จะเห็นยืนกันเป็นตับเลย เลือกได้ตามใจชอบ ไกด์ทัวร์พวกนี้จะพาเราไปจุดสำคัญๆ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่อื่นนานเกินไป
ของเราเลือกอย่างหลัง ความจริงอย่าเรียกว่าเราเลือกเลย คุณชายนางเลือก นางชอบอะไรพวกนี้ เสียค่าเสียหายเพิ่มไปอีกคนละ 30 ยูโร สำหรับเรา เราว่าไม่คุ้ม ฟังภาษาอังกฤษมากๆแล้วเหนื่อย 5555 แต่คุณชายนางบอกว่าคุ้ม อันนี้ก็แล้วแต่พิจารณากันไปเอง เราคงเข้าไม่ถึงศิลปะเท่าที่ควรมั้ง


เข้าไปด้านใน ไกด์ก็จะพาไปดูโปสเตอร์จำลองภาพเพดาน และกำแพงผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจลโล่ ที่อยู่ใน Sistine Chapel ในน้ำเค้าห้ามถ่ายรูป และห้ามส่งเสียงดัง ไกด์เลยต้องพาไปเล่าประวัติที่โปสเตอร์แทน ตอนนั้นเรากำลังอิน และตั้งใจฟังมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ พอไกด์เล่าจบก็พาเดินไปเรื่อยๆ เดินไปเดินมาก็จะมาโผล่ที่ลานข้างนอก

เดินไปอีกนิดก็จะไปถึงห้องที่มีรูปปั้นหน้าคนเต็มไปหมดเลย แต่ละตัวก็มีประวัติแตกต่างกันไป


แล้วเราก็เดินต่อไปทางส่วนของ Cortile delle Statue of the Belvedere palace ที่นี่จะมีหินอ่อนแกะสลักอยู่รอบๆ อย่างงานชิ้นที่คนมุงเยอะๆก็จะมี Apollo del Belvedere

River god (Arno)


เดินต่อเข้าไปด้านในก็จะถึง Sala Rotunda (Round Room) ที่ห้องนี้มีพื้นที่เป็นโมเสกชิ้นเล็กๆต่อเรียงกัน

ต่อไปก็ห้อง Tapestries ห้องผ้าทอโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงผ้าทอที่ออกแบบโดยคณะทำงานของราฟาเอว ที่นี่ถ่ายรูปได้แต่ ห้ามใช้แฟรช ผ้าแต่ละผืนจะถ่ายถอดเรื่องราวของพระเยซู มีทั้งหมด 19 ภาพ

ผ้าผืนนี้ The Resurrection เป็นภาพที่พูดถึงตอนพระเยชูฟื้นคืนชีพ สิ่งที่โดดเด่นปนหลอนก็คือ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะเหมือนพระเยซูมองเราอยู่ตลอด ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับภาพของโมนาลิซ่า


ในห้องนี้อีกสิ่งที่น่าสนใจคือเพดาน มองเผินๆก็อาจจะดูเหมือนเพดานแกะสลัก แต่ความจริงแล้วเป็นรูปวาดทั้งหมด มีการลงแสงและเงาหลอกตาทำให้ดูเหมือนว่าเพดามีส่วนนูนส่วนเว้า


ห้องถัดมาเป็น Map Gallery ห้องแผนที่อิตาลีสมัยก่อน แต่เรากับคุณแฟนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ สนเพดานมากกว่า ไกด์ก็พูดไป เรานี่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเลย 

ที่สุดท้ายที่เราไปก็คือ Hilight ของที่นี่ Sistine Chapel นั่นเอง อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเค้าห้ามถ่ายรูป เราเลยเอาภาพจาก wiki มาประกอบแทน ในห้องเราจะชื่นชมไปกับภาพวาด The las judgement  และ ภาพวาด frescoes บนเพดาน ฝีมือการวาดของไมเคิลแองเจโล
ของจริงมันสวยมาก ยิ่งพอได้รู้ประวัติจากไกด์ที่แนะนำไปตอนก่อนเข้า museum เรายิ่งทึ่ง เงยหน้ามองกันจนปวดคอเลยทีเดียว มองแล้วก็แอบสังสัยไม่ได้ว่าเค้าวาดรูปกันยังไงบนเพดานสูงขนาดนั้น พอเดินออกมาก็จากห้องเดินลงบันไดมาก็จะเห็นทางเข้าโดม หรือที่เรียกว่า Cupola น่าเสียดายที่ตอนเราไป เงินสดในกระเป๋าหมด แบบหมดเกลี้ยงเลยอดขึ้นไปดู T^T ยังเส้าไม่หายจนถึงทุกวันนี้ ใครที่อ่านกระทู้เรา อย่าทำพลาดแบบเราเป็นอันขาด ค่าเสียหายอยู่ที่  5-7 ยูโร แล้วแต่ว่าจะเลือกขึ้นลิฟต์หรือเดินขึ้นบันได

ไปต่อกันที่ St. Peter's Basilica หรือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยน้า พูดพร้อมทำตาวิ้งๆๆๆ สำหรับใครที่ไปในหน้าร้อนและคิดอยากใส่ขาสั้น ขอให้เตรียมผ้าพันคอ หรือพาคลุมยาวๆไว้สำหรับคลุมเข่าด้วยนะคะ ไม่งั้นอดเข้าแน่นอน พอเข้าไปด้านในเราก็ยังคงต้องทึ่งกับผลงานการสร้างโบสถ์ของคนโรมันสมัยก่อน มันดูโอโถง กว้างใหญ่มาก

พอออกมาด้านนอกจะเห็นคิวที่ต่อกันยาวเป็นกิโล เพื่อต่อเข้า St' Peter Basillica เห็นแล้วแบบ... พวกเค้าช่างมีความอดทนกันดีจัง ฝนก็ตก เย็นก็เย็น ดีจังที่เราไม่ต้องต่อแถวแบบนี้
หลังจากเดินชม Vatican มาหลายชั่วโมง เราก็เริ่มงอแง โมโหหิว อากาศก็ไม่ดี cupola ก็ไม่ได้ขึ้น คุณชายนี่แทบวิ่งพาเราไปร้านอาหาร ก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด เค้าว่าผู้หญิงเวลาโมโหหิวนี่น่ากลัวที่สุด (จริงไหมสาวๆ) ร้านอาหารครั้งนี้ เราได้ความช่วยเหลือจาก Tripadvisor อีกเช่นเคย ร้านนี้ชื่อ Wine ba De Penitenzieri เป็นอีกร้านที่เราแนะนำ อยู่ไม่ห่างจากวาติกันนัก อาหารรสชาติดีมาก บรรยากาศร้านก็ดี แถมราคาไม่ค่อยแพงอีกต่างหาก

พอกินเสร็จฝนก็เริ่มตกพอดี ฟ้าครึ้มมืดมัวไปหมด บทจะรอให้ฝนหยุด จากที่ดูพยากรณ์อากาศแล้วท่าจะยากแต่จากที่ดูแผนที่ เมโทรที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานี Spana ต้องเดินไปจากที่ที่เราอยู่อีก 20 นาที คุณชายกับเราก็แบบเอาว่ะ ดีกว่ารอแล้วฝนตกหนักขึ้น ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอยู่เฉยๆ เดินออกมาสักพักก็เจอคนขาย ร่ม กับ เสื้อกันฝน (poncho) อยู่เต็มไปหมด สุดท้ายเราก็ต้องยอมเสียเงิน 10ยูโร เพื่อเสื้อกันฝนสองตัว
ระหว่างทางที่เดินไปเมโทรก็จะผ่าน Castel Sant'Angelo และเดินข้ามสะพาน Ponte St.Angelo เลยถ่ายรูปคู่เสื้อกันฝนมาฝาก สีสันสดใสดีจัง ช่างต่างกับสภาพอากาศ

กว่าจะเดินถึงสถานี Spana ก็เล่นเอารองเท้าแฉะ แบบเดินแล้วได้ยินเสียง แจ๊ะๆๆๆๆ เลย ระหว่างทางเดินก็ทำเอาเราอดสงสัยไม่ได้ว่า พวกที่ขายไม้เซลฟี่เค้าเปลี่ยนของเป็นเสื้อกันฝนกับร่มได้ยังไงทันทีที่ฝนตก จากตอนแรกก่อนฝนตกก็เห็นคนพวกนี้ยังขายไม้เซลฟี่กันอยู่ พอฝนตกปุ๊บ เห้ยยย ไม้หายกลายเป็นร่ม แล้วคือเป็นแบบนี้ทุกที่ คือ งง หรือว่าคนพวกนี้จะเป็นนักมายากลด้วย อะไรยังไง *___*
วันสุดท้ายที่โรม เครื่องบินที่จองกลับบ้านเป็นเวลาเกือบๆ 1 ทุ่ม เพราะงั้นเรายังพอมีเวลาเก็บตก ตอนเช้าหลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งรถไฟไป Roma Termini เพื่อไปฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟ ก่อนจะไปเดินเล่นทิ้งทวน

นั่งเมโทรสาย A ไปลงสถานี Flaminio เดินไปอีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะถึง จตุรัส Popolo (Piazza del Popolo) ที่นี่จะมีน้ำพุ Fontana del Nettuno กับ Fontana della Dea di Roma อยู่ฝั่งขวาและซ้าย

เอาจริงๆก่อนมาที่นี่เราก็ไม่รู้ประวัติเท่าไหร่หรอก พอดีเห็นในแผนที่ ที่มากับRoma Pass ทำเป็นรูปเหมือนสถานที่สำคัญ ไหนๆก็ไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับน้ำพุเทรวี่แล้ว มาถ่ายกับน้ำพุที่นี่แทนก็ได้ฟร่ะ
นอกจากน้ำพุแล้วเค้ายังมีโบสถ์ฝาแฝดที่ชื่อว่า Santa Maria in Montesanto (ซ้าย) และ Chiesa di Santa Maria Dei Miracoli (ขวา)

พอเดินผ่านโบสถ์ฝาแฝดนี้ก็จะเป็นเหมือนถนนช็อปปิ้งเต็มสองข้างทาง แต่ก่อนจะช็อปปิ้งขอแวะเติมพลังที่ร้านนี้ Al Vantaggio เป็นร้านที่ใกล้ๆกับจตุรัส ร้านนี้รีวิวบน Tripadvisor ดีทีเดียว แล้วเค้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง อร่อยจริงๆ
 
พอกินเสร็จฝนก็ตกอีกแล้ว หมดกันอารมณ์เก็บตก สุดท้ายเลยตัดสินใจกลับไปช็อปปิ้งที่สถานีรถไฟ Temini แทน ที่นี่มาหลายร้านให้ช็อป มี Sephora ด้วยน้าาาา

และแล้วก็สิ้นสุดการเดินทาง จาก Temini ไปสนามบินสามารถไปได้ด้วยรถไฟเร็ว Leonado express
รถไฟธรรมดา หรือไม่ก็ airport shuttle เราตัดสินใจเลือก Leonado express เพราะไม่อยากนั่งรถนาน
ราคาค่าตัวคนละ 14 ยูโร สามารถซื้อที่ตู้อัตโนมัติ หรือจองล่วงหน้าผ่านอินเตอร์เนตได้เลย 
นั่งรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงสนามบิน Fiumicino (FCO) 
ได้เวลาบ๊ายบายอิตาลี ถ้ามีโอกาสหวังว่าจะได้เจอกันใหม่
 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปด้วยด้วยกันนะคะ ถ้ามีอะไรสยสัย หรืออยากสอบถามรายละเอียด คอมเม้น หรือติดต่อมาทางเฟสบุ๊คได้นะคะ ^_____^
Mwahhh
xxx

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น